Where Artistry Meets Individuality ศัลยกรรมจมูก


การศัลยกรรมจมูก
การเสริมจมูก (Augmentation rhinoplasty) เป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปร่างจมูกให้ดูสวยงามและสมส่วนมากขึ้น โดยในกระบวนการนี้สามารถแบ่งออกตามลักษณะของแผลผ่าตัด (approach) ได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ:
1. การผ่าตัดแบบปิด (Closed Rhinoplasty หรือ Endonasal Rhinoplasty)
- ลักษณะการผ่าตัด: การผ่าตัดแบบปิดจะทำแผลทั้งหมดภายในรูจมูก ไม่มีแผลที่มองเห็นจากภายนอก ทำให้ไม่ต้องมีแผลบริเวณภายนอก
- ข้อดี: แผลจะมีขนาดเล็กและไม่เห็นจากภายนอก มีการฟื้นตัวที่เร็วกว่า เนื่องจากไม่มีการเปิดหนังจมูก
- ข้อจำกัด: การมองเห็นโครงสร้างภายในจมูกจะไม่ชัดเจนเท่ากับการผ่าตัดแบบเปิด จึงอาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งโครงสร้างจมูกในบางกรณี
2. การผ่าตัดแบบเปิด (Open Rhinoplasty หรือ Open-Tip Rhinoplasty)
- ลักษณะการผ่าตัด: การผ่าตัดแบบเปิดจะมีแผลที่ด้านในจมูกเหมือนการผ่าตัดแบบปิด แต่มีแผลที่บริเวณด้านนอก ผ่านแกนระหว่างรูจมูก (transcolumella incision) เพื่อเชื่อมไปยังแผลผ่าตัดด้านในรูจมูกอีกข้าง
- ข้อดี: ช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถเปิดหนังจมูกและเห็นโครงสร้างกระดูกและกระดูกอ่อนภายในจมูกได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถปรับแต่งโครงสร้างของจมูกได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น
- ข้อจำกัด: แผลจากการผ่าตัดอาจมองเห็นได้ในระยะแรกหลังการผ่าตัด และอาจใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าการผ่าตัดแบบปิด
การเลือกวิธีผ่าตัด:
การเลือกวิธีผ่าตัดทั้งแบบปิดหรือแบบเปิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ลักษณะของแผลผ่าตัดเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้รับบริการ รวมถึงลักษณะของปัญหาจมูกที่ต้องการแก้ไขด้วย เช่น
- หากต้องการ ปรับโครงสร้างจมูก เพื่อแก้ไขจมูกที่มีปัญหาหรือมีลักษณะไม่สมดุล การผ่าตัดแบบเปิดอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- หากต้องการเพียงแค่ เสริมจมูกด้วยซิลิโคน เพื่อให้จมูกดูโด่งขึ้น การผ่าตัดแบบปิดอาจเพียงพอ
สิ่งที่สำคัญกว่าแผลผ่าตัด
การตัดสินใจเลือกวิธีผ่าตัดไม่ได้อยู่ที่แค่แผลผ่าตัดในจมูก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ กระบวนการที่ศัลยแพทย์จะทำภายในจมูก เช่น การปรับโครงสร้างของกระดูกและกระดูกอ่อน หรือการเสริมซิลิโคน โดยบางครั้งการผ่าตัดแบบเปิดอาจจำเป็นเมื่อศัลยแพทย์ต้องการปรับโครงสร้างหรือรูปทรงของจมูกให้สวยงามและตรงตามความต้องการของผู้รับบริการ
การศัลยกรรมจมูกหรือที่รู้จักกันในชื่อ "การเสริมจมูก" เป็นการศัลยกรรมที่ช่วยให้จมูกมีรูปร่างสวยงามมากขึ้น โดยมีหลายเทคนิค เช่น การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อน หรือการปรับแต่งรูปร่างของจมูกให้สมส่วนกับใบหน้า
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน
ที่ BMDS Wellness Clinic เน้นการดูแลแบบเฉพาะบุคคล โดยแพทย์จะพูดคุยถึงปัญหาและแนะนำการศัลยกรรมที่เหมาะกับแต่ละบุคคลเป็นกระบวนการที่สำคัญในการทำศัลยกรรมจมูก ซึ่งจะต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่าง หน้าผาก, กระดูก, โหนกแก้ม, ฟัน, และคาง เพื่อให้การปรับรูปร่างจมูกไม่เพียงแค่ดูสวยงามในตัวเอง แต่ยังช่วยเสริมบุคลิกภาพและโหงวเฮ้งที่ดีให้กับผู้รับบริการด้วย
หลังจากมั่นใจแล้วแพทย์จะใช้การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนที่เหลาโดยแพทย์เป็นกระบวนการที่ทำให้ได้รูปร่างจมูกที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยการใช้ซิลิโคนที่มีความเหมาะสมกับรูปหน้าของผู้รับบริการและถูกปรับแต่งตามความต้องการของแต่ละบุคคล การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเหลาเองจากแพทย์มีข้อดีในการปรับรูปร่างของจมูกให้มีความโดดเด่นและดูเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแก้จมูกที่บิดเบี้ยวหรือทำให้จมูกมีความสูงขึ้น แพทย์จะวางซิลิโคนในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก โดยการวางซิลิโคนในตำแหน่งนี้จะช่วยให้ซิลิโคนยึดแน่นกับสันจมูกและไม่เคลื่อนตัวไปไหนหลังจากที่ซิลิโคนเข้าที่ดีแล้ว
การเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรมจมูก
-
การปรึกษาแพทย์
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินโครงสร้างจมูกและใบหน้าของคุณ โดยแพทย์จะช่วยแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเสริมจมูกที่เหมาะสมที่สุด -
การหยุดยาบางชนิด
หยุดทานยาบางชนิดที่อาจทำให้เลือดออกมาก เช่น ยาแอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบบางประเภท อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด -
การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัด เนื่องจากทั้งสองสิ่งนี้อาจทำให้การฟื้นตัวช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ -
การงดอาหารหรือเครื่องดื่ม
งดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดเพื่อป้องกันปัญหาการอาเจียนหรือสำลักขณะทำการผ่าตัด
เสริมจมูกด้วยซิลิโคน (Silicone Nasal Implant) เหมาะกับใคร
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเหมาะสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะและความต้องการดังต่อไปนี้:
- ผู้ที่มีจมูกเล็กหรือแบนเกินไป
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนช่วยเพิ่มขนาดและสร้างรูปทรงจมูกที่โดดเด่นขึ้น ซิลิโคนจะช่วยทำให้จมูกดูมีมิติและกระชับมากขึ้น เพิ่มความสมดุลให้กับใบหน้า - ผู้ที่มีจมูกคดหรือบิดเบี้ยว
สำหรับผู้ที่มีจมูกคดหรือรูปทรงไม่สวยงาม การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนสามารถช่วยปรับรูปทรงจมูกให้ตรงขึ้นและมีสัดส่วนที่ดีขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูกจะช่วยให้จมูกกลับมาในรูปทรงที่ดูดีและสมส่วนมากขึ้น - ผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดจมูกหรือได้รับบาดเจ็บที่จมูก
หากผู้รับบริการเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกหรือมีการผ่าตัดก่อนหน้านี้ที่ทำให้จมูกมีรูปทรงผิดปกติ ซิลิโคนสามารถช่วยฟื้นฟูและคืนรูปทรงให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีได้ - ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่เสี่ยงต่อการผ่าตัดเปิดบริเวณซี่โครง
สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ไม่เหมาะสมกับการผ่าตัดซี่โครง (เช่น การใช้กระดูกอ่อนจากซี่โครงในการเสริมจมูก) การใช้ซิลิโคนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกกว่า - ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและระยะพักฟื้นสั้น
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเป็นวิธีการที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้มีระยะพักฟื้นสั้นกว่าการผ่าตัดแบบเปิด หรือการใช้กระดูกอ่อนจากซี่โครง จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็วและไม่ต้องการฟื้นตัวนาน
ขั้นตอนการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเหลาเองจากแพทย์
ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมจมูก
- การผ่าตัด: แพทย์จะทำการผ่าตัดในบริเวณที่ซ่อนรอยแผล เช่น ในรูจมูก หรือที่ใต้ฐานจมูก เพื่อไม่ให้แผลเห็นได้ชัดเจน หลังจากนั้นจะทำการเปิดแผลเล็กๆ บริเวณที่เหมาะสม และทำการวางซิลิโคนเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ
- การเหลาซิลิโคน: ซิลิโคนที่ใช้จะถูกปรับแต่งให้มีรูปร่างที่เหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างของจมูกและใบหน้าของผู้ป่วย โดยแพทย์จะทำการเหลาและปรับซิลิโคนให้ได้ขนาดและรูปทรงที่ต้องการ
- การเย็บแผล: หลังจากวางซิลิโคนในตำแหน่งที่ต้องการแล้ว แพทย์จะเย็บแผลให้เรียบร้อย โดยทั่วไปจะใช้ไหมละลายที่ไม่ต้องตัดออก
ข้อดี:
- ทำให้จมูกดูเรียวสวยและสมส่วนกับใบหน้า
- แก้ไขปัญหาจมูกเบี้ยว หรือจมูกที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ
- ผลลัพธ์ที่ได้สามารถอยู่ได้ยาวนาน
ข้อจำกัด:
- มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อหรือการเกิดแผลที่ไม่สมบูรณ์
- หลังจากการผ่าตัดอาจมีอาการบวมและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
วิธีการดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมจมูก
หลังการผ่าตัดเสริมจมูกหรือแก้ไขจมูก การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดมีความสำคัญมากในการฟื้นตัวและการรักษาผลลัพธ์ที่ดี ดังนี้:
- ทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
-
ควรทานยาตามที่แพทย์จ่ายให้ เช่น ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และยาลดการอักเสบตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
-
หลีกเลี่ยงการทานยาที่ไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ โดยเฉพาะยาที่อาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
-
- ประคบเย็นในช่วง 3-4 วันแรก
-
ใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเย็น ประคบบริเวณข้างแก้มและหน้าผากเพื่อช่วยลดบวมและอักเสบ
-
หมายเหตุ: การประคบเย็นจะช่วยลดการบวมในช่วงแรกหลังผ่าตัด ซึ่งเป็นระยะที่มีการอักเสบมากที่สุด
-
- หลังจาก 3-4 วัน ประคบอุ่น
-
หลังจากวันที่ 3-4 ควรเริ่มใช้การประคบอุ่นแทน เพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด
-
ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น ประคบบริเวณจมูกและหน้าผาก
-
- ทำความสะอาดใบหน้าและงดแต่งหน้า
-
ใช้สำลีชุบน้ำเปล่าเช็ดทำความสะอาดใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่ถูกแผล
-
งดการแต่งหน้า: งดแต่งหน้าตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัดจนถึง 7 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือระคายเคืองบริเวณแผล
-
หลังจาก 7 วันสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
-
- การนอน
-
ควรนอนหมอนศีรษะสูง (ประมาณ 30-45 องศา) และใช้หมอนรองคอเพื่อช่วยลดการบวม
-
งดการนอนราบหรือนอนตะแคง: ควรหลีกเลี่ยงการนอนในท่าตะแคงหรือการนอนราบในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนหรือความผิดปกติของรูปทรงจมูก
-
- งดอาหารบางประเภทและการดื่มแอลกอฮอล์
-
งดของหมักดอง: ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า กะปิ เพราะอาจทำให้แผลอักเสบ
-
งดการสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่จะทำให้การฟื้นตัวช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
-
งดการดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์อาจส่งผลเสียต่อกระบวนการฟื้นฟูของแผล ควรงดอย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัด
-
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักและออกกำลังกายหนัก
-
ควรงดการยกของหนักหรือการออกกำลังกายหนักในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อจมูก
-
- การทำความสะอาดแผลภายในจมูกหลังตัดไหม
-
หลังจากตัดไหมแล้ว ควรใช้คอตตอนบัต (Cotton Bud) ชุบน้ำเกลือหรือน้ำอุ่น เช็ดทำความสะอาดแผลภายในจมูกอย่างเบามือ เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อโรค
-
ควรทำความสะอาดแผลภายในจมูกทุกวันเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ
-
- หลีกเลี่ยงการให้แผลโดนน้ำหรืออับชื้น
-
-
ควรหลีกเลี่ยงการให้แผลโดนน้ำโดยตรงในช่วงแรก เช่น การล้างหน้าในบริเวณที่มีแผล
-
ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นทำความสะอาดใบหน้าแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแผลโดยตรง
-
การดูแลและป้องกันปัญหาปลายจมูกบาง
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเป็นศัลยกรรมยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปทรงจมูกให้ดูโดดเด่นและเป็นธรรมชาติ แต่หากไม่ได้รับการวางแผนและดูแลอย่างถูกต้อง อาจเกิดปัญหาปลายจมูกบางจนใกล้ทะลุ ซึ่งเป็นภาวะที่เสี่ยงและอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงในระยะยาว
อาการและความเสี่ยงเมื่อปลายจมูกบาง
- ผิวหนังปลายจมูกบางลง: ปลายบางใส จับดูอาจรู้สึกเสียวที่ปลายจมูก และเกิดการทะลุ ซิลิโคนอาจดันออกมาผ่านเนื้อเยื่อปลายจมูก หากทะลุจะเกิดแผลเปิด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และทำให้ปลายจมูกผิดรูปถาวร
- การติดเชื้อที่ปลายจมูก: ผิวหนังที่บางลงอาจอักเสบง่าย ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ หากติดเชื้อรุนแรง อาจมีหนองและจำเป็นต้องถอดซิลิโคนออก
- เนื้อเยื่อปลายจมูกถูกทำลาย: ซิลิโคนที่มีขนาดไม่เหมาะสมหรือวางผิดตำแหน่ง อาจกดทับปลายจมูกจนทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย เมื่อเกิดพังผืดและแผลเป็น อาจทำให้การแก้ไขยากขึ้น
- รูปทรงจมูกเสียหายถาวร: หากเกิดภาวะทะลุ อาจต้องถอดซิลิโคน ส่งผลให้โครงสร้างจมูกเสียรูป จำเป็นต้องรอให้แผลหายก่อนจึงสามารถทำศัลยกรรมแก้ไข ซึ่งใช้เวลานานหลายเดือนถึงปี
วิธีแก้ไขและป้องกันปลายจมูกบางจากซิลิโคน
หากเริ่มรู้สึกว่าปลายจมูกบางลง อย่าปล่อยไว้จนเกิดปัญหารุนแรง รีบปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อวางแผนแก้ไข โดยสามารถเลือกแนวทางดังต่อไปนี้:
- ถอดซิลิโคนออกชั่วคราว: ให้เนื้อเยื่อปลายจมูกได้พักฟื้นก่อนทำศัลยกรรมแก้ไข
- รองปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อตัวเอง: เช่น กระดูกอ่อนหลังหู หรือไขมัน เพื่อลดแรงกดจากซิลิโคนและเพิ่มความแข็งแรงให้ปลายจมูก
- รองปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม ที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์หรือวัสดุที่สามารถทนทานและปลอดภัยในร่างกายมนุษย์มาเสริมตรงบริเวณปลายจมูก
- ปรับแต่งซิลิโคนใหม่: เลือกขนาดและรูปทรงที่เหมาะสม เพื่อให้รับกับโครงสร้างจมูกโดยไม่กดทับมากเกินไป
- เปลี่ยนมาเสริมจมูกด้วยเทคนิคที่ไม่มีซิลิโคนที่ปลายจมูก: เช่น เทคนิคโอเพ่นปลายไร้ซิลิโคน เพื่อป้องกันปัญหาปลายจมูกบางและช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
การเสริมจมูกรองปลายด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู
การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูเป็นเทคนิคที่ใช้ในการเสริมจมูกให้มีความโด่งขึ้น โดยการใช้กระดูกอ่อนจากหลังหูเพื่อรองปลายจมูก ในกรณีที่มีปัญหาผิวหนังปลายจมูกบางหรือจมูกสั้น ซึ่งการเสริมด้วยซิลิโคนอย่างเดียวอาจทำให้เกิดปัญหาปลายจมูกทะลุหรือไม่สวยงามได้ กระดูกอ่อนหลังหูจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู
- ปลายจมูกสวยและธรรมชาติ
กระดูกอ่อนหลังหูสามารถใช้รองปลายจมูก ทำให้ปลายจมูกมีความโด่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เกิดปัญหาปลายทะลุหรือมีความคมที่ไม่สวยงามเหมือนการใช้ซิลิโคน - ลดความเสี่ยงของการทะลุ
สำหรับผู้ที่มีผิวหนังปลายจมูกบางหรือจมูกสั้น การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนอาจเกิดปัญหาปลายทะลุได้ง่าย แต่การใช้กระดูกอ่อนหลังหูจะช่วยเสริมความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของปลายจมูก ทำให้ลดความเสี่ยงในการทะลุ - เนื้อเยื่อที่ใช้มาจากร่างกายตัวเอง
กระดูกอ่อนหลังหูเป็นเนื้อเยื่อที่มาจากร่างกายของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดการแพ้หรือการต่อต้านจากร่างกายต่ำมาก - รูปร่างปลายจมูกสวยงามและเป็นธรรมชาติ
กระดูกอ่อนหลังหูช่วยให้ปลายจมูกดูเป็นธรรมชาติ มีความนุ่มนวลและเรียบเนียน ไม่เกิดรอยหยักหรือขรุขระเหมือนกับการใช้ซิลิโคน
ข้อจำกัดของการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู
- ขนาดของกระดูกอ่อนหลังใบหูอาจไม่เพียงพอ
สำหรับบางคนที่ต้องการการเสริมจมูกมาก ๆ เช่น ต้องการความโด่งที่มากขึ้น หรือมีความผิดปกติของจมูกมาก การใช้กระดูกอ่อนหลังหูอาจไม่เพียงพอที่จะเสริมได้ตามต้องการ และอาจต้องใช้เทคนิคอื่นร่วมด้วย - ระยะเวลาการฟื้นตัว
การผ่าตัดเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูอาจมีระยะเวลาการฟื้นตัวที่นานกว่าการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน เนื่องจากมีการผ่าตัดทั้งในบริเวณจมูกและหลังหู - แผลจากการตัดกระดูกอ่อน
มีการเปิดแผลบริเวณหลังหูเพื่อเอากระดูกอ่อนออก ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลหรือรอยแผลเป็นที่หลังหูได้ ควรหลีกเลี่ยงในคนที่มีประวัติเป็นคีลอยด์
ผู้ที่เหมาะสมกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู
- ผู้ที่มีผิวหนังปลายจมูกบาง
หากปลายจมูกมีผิวหนังบาง การเสริมด้วยซิลิโคนอาจทำให้เกิดปัญหาปลายจมูกทะลุ การเสริมด้วยกระดูกอ่อนหลังหูจะช่วยให้ปลายจมูกมีความแข็งแรงและไม่ทะลุ - ผู้ที่มีจมูกสั้นหรือมีรูปทรงจมูกที่ไม่สวยงาม
สำหรับผู้ที่มีจมูกสั้นหรือไม่โด่ง การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูจะช่วยเพิ่มความโด่งและรูปทรงของจมูกให้ดีขึ้น - ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน
การใช้กระดูกอ่อนหลังหูจะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและคงทนยาวนานกว่าซิลิโคน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปลายทะลุหรือต้องเปลี่ยนซิลิโคนในอนาคต
ขั้นตอนการทำการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู
- การประเมินและวางแผนการผ่าตัด
แพทย์จะทำการประเมินรูปทรงจมูกและผิวหนังปลายจมูก พร้อมกับตรวจสอบสภาพกระดูกอ่อนหลังหูเพื่อดูว่ามีขนาดเพียงพอหรือไม่ - การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
ผู้ป่วยจะต้องงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด และอาจได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์ เช่น หยุดทานยาบางชนิด - การผ่าตัด
-
- การเก็บกระดูกอ่อนหลังใบหู: แพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณหลังหูเพื่อเก็บกระดูกอ่อน ซึ่งกระดูกอ่อนนี้จะมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมในการรองปลายจมูก
- การเสริมจมูก: แพทย์จะทำการเสริมจมูกโดยใช้กระดูกอ่อนหลังหูรองปลายจมูก และทำการปรับรูปร่างจมูกให้ตรงตามความต้องการ
- การเย็บแผล: หลังจากเสริมจมูกแล้ว แพทย์จะเย็บแผลทั้งที่จมูกและที่หลังหูให้เรียบร้อย
ผ่าตัดกระดูกอ่อนหลังใบหูเจ็บไหม?
การผ่าตัดกระดูกอ่อนหลังหูเจ็บน้อยมาก เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อที่อ่อนและไม่ลึก เวลาสะกิดยาชาอาจเจ็บนิดเดียว แต่ในระหว่างการผ่าตัดจะไม่มีอาการเจ็บเลย เพราะได้รับยาชาและแผลที่ทำมีขนาดเล็กมาก ที่สำคัญคือไม่มีผลเสียต่อโครงสร้างใบหูของเรา
มีอาการเจ็บแปลบหลังผ่าตัดผิดปกติไหม?
อาการเจ็บแปลบหลังผ่าตัดถือเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นในช่วง 3 เดือนหลังการผ่าตัด และหายสนิทใน 1 ปี แต่บางคนอาจจะใช้เวลาน้อยหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล แนะนำให้ระมัดระวังในการนอนหลับ เช่น อย่ากดทับแผลหรือแนบโทรศัพท์หูแรง ๆ ซึ่งจะช่วยให้แผลสมานไวขึ้นและลดอาการเจ็บแปลบได้
หลังผ่าตัดกระดูกอ่อนหลังใบหู สระผมได้ไหม?
หลังการผ่าตัดควรงดสระผมเอง 2 สัปดาห์หรือจนกว่าจะตัดไหม เพราะการแผลโดนน้ำอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและไม่ช่วยให้แผลสมานตัวได้ดี หากมีความจำเป็น คุณสามารถใช้ดรายสเปรย์เพื่อทำให้ผมแห้งเร็วและลดคราบมัน หลังจากครบ 7 วันและเอาผ้าก๊อซไหมออกแล้ว ถ้าแผลแห้งดีแล้วสามารถสระผมได้
ใส่กระดูกอ่อนหลังใบหูแล้วปลายแดงผิดปกติไหม?
อาการปลายแดงหลังการผ่าตัดในช่วง 2-4 สัปดาห์ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากการยืดเนื้อปลายจมูกเพื่อรองกระดูกอ่อนหลังใบหู ซึ่งอาจทำให้เห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจนและทำให้ปลายจมูกมีอาการแดง ในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นอาการนี้จะดีขึ้นและหายไปเอง
อาการปลายแดงเป็น ๆ หาย ๆ เกิดจากอะไร?
อาการปลายแดงที่เกิดขึ้นเป็น ๆ หาย ๆ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- การขัดผิวหรือลอกผิวของตัวเอง
- สภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือการมีอาการภูมิแพ้
- การออกกำลังกายหนักๆ ที่ทำให้เลือดสูบฉีดและกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยนูนแดง ซึ่งอาจทำให้อาการปลายแดงเกิดขึ้นได้
การเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียม ได้ผลดีอย่างไร?
การเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียมมีข้อดีหลายประการ ได้แก่:
- การคงรูปที่ยาวนาน เนื้อเยื่อเทียมสามารถคงรูปและคงสภาพได้ยาวนานมากกว่าการใช้เนื้อเยื่อตนเองที่อาจจะยุบหรือเปลี่ยนรูปได้เมื่อเวลาผ่านไป
- การเสริมรูปร่างที่แน่นอน ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นไปตามที่ต้องการ มีความแน่นอนในรูปทรง
- ไม่ต้องรอเนื้อเยื่อจากตัวเอง การใช้เนื้อเยื่อเทียมไม่ต้องการการนำเนื้อเยื่อจากส่วนอื่นของร่างกาย ทำให้การผ่าตัดใช้เวลาน้อยลงและการฟื้นตัวเร็วขึ้น
- การเพิ่มความหนาบริเวณปลายจมูกและป้องกันการทะลุ การเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียมสามารถเพิ่มความหนาบริเวณปลายจมูกได้ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปลายจมูกบางหรือบางทีปลายจมูกไม่ค่อยชัดเจน ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการทะลุของซิลิโคนเมื่อเวลาผ่านไป
- เนื้อเยื่อเทียมมีความนิ่ม เนื้อเยื่อเทียมที่ใช้ในการเสริมจมูกมักจะมีความนิ่มมากกว่าซิลิโคนธรรมดา ซึ่งทำให้มันมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายเมื่อสัมผัสหรือเคลื่อนไหว โดยไม่ให้ความรู้สึกแข็งหรือผิดปกติเหมือนซิลิโคน
- ลดการเสียดสีระหว่างซิลิโคน การเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียมยังช่วยลดการเสียดสีระหว่างซิลิโคนและเนื้อเยื่อจมูกโดยตรง โดยที่เนื้อเยื่อเทียมจะทำหน้าที่เป็นชั้นป้องกันระหว่างซิลิโคนและปลายจมูก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลที่เกิดจากการเสียดสีที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ใช้ซิลิโคนโดยตรง
ใครที่ควรเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียม?
การเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียมเหมาะกับคนที่:
- ต้องการการเสริมปลายจมูกที่มีรูปร่างที่ชัดเจนและยาวนาน
- มีปัญหาการเสริมจมูกด้วยวิธีอื่นๆ (เช่น ซิลิโคนธรรมดา) แล้วไม่สามารถปรับให้ได้รูปที่ต้องการ
- ไม่ต้องการการนำเนื้อเยื่อตนเองมาจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หู หรือ ซี่โครง
- ต้องการเสริมที่มีความเสี่ยงต่ำในการเกิดการปฏิเสธหรือผลข้างเคียงจากการใช้เนื้อเยื่อตนเอง
การดูแลตนเองหลังการเสริมจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียมแตกต่างจากการเสริมซิลิโคนธรรมดาเพียงอย่างเดียวหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วการดูแลหลังการเสริมจมูกรองปลายด้วยเนื้อเยื่อเทียมจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการดูแลหลังการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนธรรมดา (การดูแลหลังการผ่าตัดจมูกที่ใช้วัสดุใดก็ตาม) แต่จะมีบางประเด็นที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อย:
- การดูแลเรื่องการติดเชื้อ: เนื่องจากการใช้เนื้อเยื่อเทียมเป็นวัสดุสังเคราะห์ จึงอาจมีความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อมากกว่าการใช้เนื้อเยื่อตนเอง ซึ่งอาจต้องมีการดูแลเรื่องการติดเชื้อให้ดี
- การระวังการเปลี่ยนรูป: ในกรณีที่ใช้เนื้อเยื่อเทียมเพื่อเสริมจมูก อาจต้องระวังเรื่องการเคลื่อนตัวของวัสดุหรือการเปลี่ยนรูป ในช่วงฟื้นตัว
- การติดตามระยะยาว: การใช้เนื้อเยื่อเทียมอาจต้องการการติดตามระยะยาวมากกว่าการใช้ซิลิโคนธรรมดา เพราะวัสดุเทียมอาจมีโอกาสที่จะเกิดปัญหา เช่น การเลื่อนหรือการเกิดปัญหาจากวัสดุ
การทำ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก เป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ไขปัญหาของปีกจมูกที่ไม่สมส่วน เช่น ปีกจมูกกว้าง, หนา, หรือบาน ซึ่งทำให้รูปร่างจมูกดูไม่สมดุลและอาจทำให้บางคนรู้สึกขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง การตัดปีกจมูกจะช่วยทำให้ปีกจมูกดูเรียวเล็กลง และเพิ่มความสมดุลให้กับใบหน้า ทำให้รูปทรงจมูกดูดีและได้สัดส่วนมากขึ้น
ข้อดีของการศัลยกรรมตัดปีกจมูก
- ทำให้ปีกจมูกดูเรียวและเล็กลง: ช่วยให้ปีกจมูกที่กว้างหรือบานกลับดูเรียวและสมส่วนกับใบหน้ามากขึ้น
- ปรับรูปทรงจมูกให้ดูสมดุล: เมื่อทำร่วมกับการเสริมจมูก สามารถสร้างความสมดุลและทำให้จมูกดูโด่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- เพิ่มความมั่นใจ: ผู้ที่มีปีกจมูกไม่สวยงามสามารถปรับแต่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจในลุคและรูปลักษณ์โดยรวม
เทคนิคการศัลยกรรมตัดปีกจมูก
การผ่าตัดตัดปีกจมูกสามารถทำได้ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาของปีกจมูกและผลลัพธ์ที่ต้องการ:
- การตัดปีกจมูกที่ฐานด้านนอก:
-
- วิธีนี้จะช่วยลดขนาดของปีกจมูกด้านข้างให้แคบลง โดยการตัดเนื้อบริเวณฐานจมูกออก 1-2 มิลลิเมตร
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปีกจมูกด้านข้างบานออกมาเกินไป เพื่อให้ปีกจมูกดูเรียวเล็กลง
- การตัดปีกจมูกด้านนอกและด้านในจมูก:
-
- การผ่าตัดแบบนี้จะเหมาะสำหรับคนที่มีรูจมูกใหญ่และปีกจมูกบาน การผ่าตัดจะช่วยลดขนาดของรูจมูกและปีกจมูกให้เล็กลง
- ผลลัพธ์คือปีกจมูกที่เรียวเล็กลงอย่างชัดเจนและดูสมดุลกับใบหน้า
-
การตัดด้านในที่ฐานจมูก:
-
- เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูจมูกเล็กอยู่แล้ว แต่ต้องการลดความนูนของปีกจมูกด้านข้าง
- แผลจะทำที่มุมปีกจมูกด้านในและตัดเนื้อปีกออก 1-2 มิลลิเมตร ทำให้ปีกจมูกเล็กลงโดยไม่เปลี่ยนขนาดรูจมูก
-
การตัดปีกจมูกแบบซ่อนแผลภายใน:
-
- เป็นวิธีที่นิยมในปัจจุบัน เพราะแผลการผ่าตัดจะซ่อนอยู่ภายในและใต้ปีกจมูก ทำให้ไม่เห็นรอยแผลจากภายนอก
- เหมาะสำหรับผู้ที่รูจมูกกว้างและแบน การทำให้ปีกจมูกดูเรียวเล็กจะเห็นผลอย่างชัดเจน โดยที่แผลจะไม่มองเห็น
ระยะเวลาการผ่าตัดและการฟื้นตัว
- การผ่าตัดตัดปีกจมูกใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับเทคนิคและลักษณะปัญหาของปีกจมูก
- หลังการผ่าตัดผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันที โดยอาจจะมีอาการบวมและช้ำเล็กน้อยในช่วงแรก ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปในไม่กี่วัน
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการขยับจมูกแรง ๆ ในช่วงแรกหลังผ่าตัดเพื่อให้แผลหายดี
ข้อมูลอ้างอิง นพ. กิดากร กิระนันทวัฒน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งและแมกซิโลเฟเชียล ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ปรึกษาหรือจองคิวได้เลยวันนี้!
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทำการนัดหมาย
โทร: 02-826-9999
Line: @bdmswellnessclinic หรือ https://bit.ly/3DYI2XE
Recommended Packages & Promotions


ตรวจวิเคราะห์ปริมาณวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ 10 ชนิด พร้อมรับ วิตามินเฉพาะบุคคล 1 เดือ...