Where Artistry Meets Individuality งามในแบบที่เป็นคุณ เสริมความมั่นใจ เราพร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน


ในยุคปัจจุบัน การศัลยกรรมใบหน้าเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงหรือเสริมความงามให้กับตัวเอง การศัลยกรรมเหล่านี้มีทั้งการปรับโครงสร้างใบหน้าและการแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ เพื่อให้ใบหน้าดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับตา จมูก ปาก หู และโครงหน้า
การศัลยกรรมใบหน้ามีทั้งประโยชน์และข้อจำกัด ดังนั้นผู้ที่สนใจการทำศัลยกรรมจะต้องคำนึงถึงข้อกำหนดดังนี้:
- ผู้ที่มีสุขภาพดี การทำศัลยกรรมต้องการสภาพร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการรักษาบาดแผล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำศัลยกรรม
- ผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปร่างหรือแก้ไขข้อบกพร่อง การทำศัลยกรรมเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปหน้า เช่น การเสริมจมูก ยกคิ้ว การทำตาสองชั้น หรือการลดริ้วรอยตามวัย
- ผู้ที่ไม่มีความเครียดหรือความวิตกกังวลเกินไป ความเครียดหรือวิตกกังวลอาจทำให้รู้สึกกังวลมากจนเกินไป ดังนั้นผู้รับบริการจะต้องสามารถรับมือกับผลข้างเคียงหรือระยะฟื้นตัวได้
การเตรียมตัวก่อนการทำศัลยกรรม
การเตรียมตัวก่อนการศัลยกรรมมีความสำคัญในการลดความเสี่ยงและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้:
- ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรม การปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาศัลยกรรมจะช่วยให้ผู้รับบริการเข้าใจถึงขั้นตอนและผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งการประเมินสุขภาพโดยรวม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้รับบริการเหมาะสมกับการทำศัลยกรรม
- ตรวจสุขภาพ หากผู้รับบริการมีประวัติทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันหรือโรคที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัว ควรทำการตรวจสุขภาพเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อจำกัดในการทำศัลยกรรม
- หยุดการใช้ยา หากผู้รับบริการใช้ยาบางชนิดที่อาจทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาสมุนไพรบางชนิด ควรหยุดใช้ยาดังกล่าวก่อนการผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอก่อนการทำศัลยกรรมจะช่วยให้ร่างกายของผู้รับบริการแข็งแรงและพร้อมสำหรับการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้กระบวนการหายของแผลช้าลง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
ที่ BDMS Wellness Clinic พร้อมดูแลและให้บริการการศัลยกรรมโดยเน้นด้านความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นหลักด้วยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมจะดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังบริการเพื่อให้ผู้รับบริการมั่นใจได้ว่าการทำศัลยกรรมในครั้งนี้จะได้ผลลัพธ์ตามที่ได้วางแผนร่วมกันไว้
1. การศัลยกรรมตา
การผ่าตัดตาเป็นหนึ่งในการศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมาก โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น การผ่าตัดเปลือกตาตก, การผ่าตัดยกคิ้ว, หรือการผ่าตัดตาสองชั้น ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาตาเล็ก ตาไม่เท่ากัน หรือรอยย่นที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น
1.1 การทำศัลยกรรมตาสองชั้น (Double lid surgery)
เป็นหนึ่งในการศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาทางด้านตา โดยเฉพาะผู้ที่มีตาชั้นเดียวหรือตาที่มีลักษณะไม่ชัดเจน การทำตาสองชั้นไม่เพียงแต่ช่วยให้ดวงตาดูสวยงามและมีมิติ แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับชั้นตาอีกด้วย
การทำศัลยกรรมตาสองชั้นเหมาะสำหรับใคร?
- คนที่มีตาชั้นเดียว
ผู้ที่มีตาชั้นเดียวหรือไม่มีชั้นตาเลย มักจะรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อมองไปที่ตัวเอง การทำตาสองชั้นจะช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับดวงตาและทำให้ดวงตาดูมีมิติมากขึ้น - คนที่มีตาสองชั้น แต่ชั้นตาหลบในเห็นไม่ชัด
บางคนอาจมีชั้นตาอยู่แล้ว แต่ชั้นตานั้นไม่ชัดเจนหรือดูหลบใน ทำให้ดวงตาดูเล็กหรือไม่คมชัด การทำศัลยกรรมตาสองชั้นสามารถทำให้ชั้นตาดูเด่นชัดและสวยงามขึ้น - ผู้ที่มีชั้นตาไม่เท่ากันสองข้าง
หากชั้นตาของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เช่น ข้างหนึ่งมีชั้นตาที่ชัดเจนกว่า อีกข้างหนึ่งชั้นตาไม่ชัด การทำตาสองชั้นจะช่วยปรับให้ชั้นตาทั้งสองข้างมีความสมดุลและสวยงาม
วิธีการทำศัลยกรรมตาสองชั้น
การทำตาสองชั้นสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของดวงตาและความต้องการของผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ซึ่งหลักๆ มี 2 วิธีดังนี้:
1. การผ่าตัดตาสองชั้น (Incision method)
วิธีนี้จะทำการผ่าตัดและตัดเนื้อเยื่อบางส่วนออกเพื่อสร้างชั้นตาใหม่ โดยแพทย์จะทำการตัดบริเวณเปลือกตาบนและสร้างรอยพับใหม่เพื่อให้ได้ชั้นตาที่ชัดเจน ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีชั้นตาหลบในหรือไม่มีชั้นตาเลย
ข้อดี:
- เหมาะสำหรับคนที่มีชั้นตาหลบในหรือไม่มีชั้นตา
- สามารถสร้างชั้นตาที่ชัดเจนและคงทน
- แผลจะมีขนาดเล็กและซ่อนอยู่ในรอยพับชั้นตา
ข้อควรระวัง
- ต้องใช้เวลาฟื้นตัว
- มีรอยแผลผ่าตัดที่อาจต้องดูแลอย่างดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
2. การเย็บชั้นตา (Sutured technique)
วิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้วิธีการเย็บชั้นตาเพื่อสร้างชั้นตาที่ชัดเจน การเย็บจะทำโดยการใช้เข็มเย็บเพื่อดึงเนื้อเยื่อให้เกิดรอยพับ โดยที่ไม่จำเป็นต้องตัดเนื้อเยื่อออก ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีตาชั้นเดียวหรือชั้นตาที่ไม่ลึกมาก
ข้อดี:
- ไม่มีแผลผ่าตัด
- ใช้เวลาฟื้นตัวเร็วกว่า
- ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
ข้อควรระวัง:
- อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหนังตาหนาหรือหนังตาเกินมากๆ
ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ดูแลและประเมิน รวมถึงการออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
2. การผ่าตัดศัลยกรรมแก้ไขหนังตาตก (Dermatochalasis)
เป็นการศัลยกรรมที่มักทำในผู้ที่มีปัญหาหนังตาบนและคิ้วที่ตกตามอายุ ซึ่งสามารถส่งผลให้ดวงตาดูไม่สดใสและอาจทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยการศัลยกรรมนี้จะช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของดวงตาและทำให้ดวงตาดูอ่อนเยาว์และสดใสมากขึ้น
ปัญหาที่เกิดจากหนังตาตก
เมื่ออายุมากขึ้น หนังตาบนและคิ้วมักจะเริ่มตกลง ซึ่งเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพของผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณนี้ การตกของหนังตาบนและคิ้วอาจทำให้:
- ตาดูไม่สดใส หรือมีลักษณะเหนื่อยล้า
- การมองเห็นภาพอาจลดลง เนื่องจากหนังตาบนตกลงมาบังขอบตามุมของตา
- สร้างความรู้สึกไม่มั่นใจในรูปลักษณ์
การแก้ไขปัญหานี้จึงมักเริ่มจากการทำศัลยกรรมเพื่อแก้ไขหนังตาบนที่ตกก่อน และในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการยกคิ้วร่วมด้วยเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
วิธีการผ่าตัดแก้ไขหนังตาตก
การผ่าตัดแก้ไขหนังตาตกสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาและความต้องการของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด
2.1. ศัลยกรรมแก้ตาตกด้วยการตัดหนังตาบน (Upper Blepharoplasty)
การผ่าตัดนี้ทำโดยการตัดเอาส่วนเกินของหนังตาบนที่ตกลง พร้อมกับไขมันส่วนเกินที่อยู่ในบริเวณเปลือกตาออก เพื่อปรับให้หนังตาดูตึงขึ้นและชัดเจนมากขึ้น
ขั้นตอน:
- แพทย์จะทำการตัดหนังตาบนส่วนเกินออก และตัดไขมันที่สะสมอยู่บริเวณเปลือกตาบน
- หลังจากนั้นจะเย็บแผลที่บริเวณชั้นตา โดยจะซ่อนแผลผ่าตัดในรอยพับของชั้นตา หรือในบางกรณีที่หนังตาตกมาก แผลอาจยาวออกไปที่บริเวณหางตาเล็กน้อย
- กระบวนการนี้จะช่วยให้ดวงตาดูสดใสขึ้นและสามารถปรับรูปทรงของตาให้ดูกว้างและเปิดกว้างขึ้น
ข้อดี:
- ช่วยปรับรูปทรงของดวงตาให้ดูสดใสและตึงขึ้น
- สามารถแก้ไขปัญหาหนังตาบนตกที่ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจนได้
- ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและยาวนาน
ข้อควรระวัง:
- แผลอาจมีรอยเป็นบางจุด ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปตามเวลา
- อาจมีอาการบวม
2.2. ศัลยกรรมแก้ตาหนังตกด้วยการแก้ไขคิ้วที่ตก (Brow Lift)
การยกคิ้วหรือ Brow Lift เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหางตาตกมากหรือคิ้วที่ตกลงไปมาก ซึ่งการทำศัลยกรรมนี้สามารถทำร่วมกับการตัดหนังตาบนเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
วิธีการทำ Brow Lift:
การดึงคิ้วจากบริเวณใต้หรือเหนือคิ้ว การยกคิ้วในลักษณะนี้จะทำการดึงผิวหนังจากบริเวณใต้หรือเหนือคิ้วขึ้น เพื่อทำให้คิ้วและหางตาดูยกขึ้นและดูสดใส
ข้อดี:
- สามารถยกคิ้วที่ตกและช่วยให้ดวงตาดูเปิดกว้างขึ้น
- ช่วยเสริมความสดใสและความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาคิ้วตก
- เมื่อทำร่วมกับการตัดหนังตาบน จะได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
ข้อควรระวัง:
- อาจมีอาการบวมบริเวณหน้าผากหรือคิ้ว
- แผลที่เกิดจากการผ่าตัดอาจมีรอยเป็นบางจุด
3.การผ่าตัดศัลยกรรมบริเวณตาล่างหรือการแก้ไขถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty)
เป็นการศัลยกรรมที่ช่วยปรับปรุงลักษณะของถุงไขมันใต้ตาและทำให้ผิวหนังบริเวณตาล่างดูตึงกระชับขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาที่ทำให้ดวงตาดูอ่อนล้าหรือแก่กว่าวัย
สาเหตุที่ทำให้เกิดถุงไขมันใต้ตา
ถุงไขมันบริเวณตาล่าง (Baggy Eyelids) มักเกิดขึ้นเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น:
- การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการอดนอน
- ภูมิแพ้และการขยี้ตาบ่อย ๆ เนื่องจากอาการแพ้ที่ตาหรือดวงตาที่บวม
- กรรมพันธุ์ ในครอบครัวที่มีลักษณะถุงใต้ตามาก
- อายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ดวงตาสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดการสะสมของไขมันใต้ตา
วิธีการผ่าตัดศัลยกรรมแก้ไขถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty)
หนึ่งในวิธีการที่นิยม คือ การผ่าตัดแบบแผลบริเวณขอบเปลือกตาล่าง (External Blepharoplasty) วิธีนี้จะทำการผ่าตัดจากขอบเปลือกตาล่าง ซึ่งจะทำในกรณีที่มีปัญหาถุงไขมันใต้ตาและหนังตาส่วนเกินค่อนข้างมาก หรือในผู้ที่มีหนังตาล่างหย่อนมาก วิธีนี้จำเป็นต้องตัดหนังตาที่ตกออกและทำการกระชับผิวหนังบริเวณตาล่างเพื่อให้ดูตึงขึ้น
ขั้นตอน:
- แพทย์จะทำการตัดเอาส่วนเกินของไขมันใต้ตาออก และตัดผิวหนังที่หย่อนมากออก
- หากจำเป็น อาจต้องทำการเย็บรั้งตาล่าง (Lateral Canthopexy) ซึ่งจะช่วยไม่ให้เปลือกตาล่างปลิ้นออกมาในกรณีที่มีปัญหาความแข็งแรงของเปลือกตาล่าง
- หลังจากนั้นจะเย็บแผลด้านนอกด้วยไหมที่ไม่ละลาย ซึ่งต้องทำการตัดไหมหลังจาก 5-7 วัน
ข้อดี:
- สามารถแก้ไขปัญหาถุงไขมันใต้ตาและหนังตาล่างที่หย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถทำให้ผิวหนังบริเวณตาล่างตึงกระชับขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาและหนังตาล่างหย่อนมาก
ข้อควรระวัง:
- จะมีแผลที่บริเวณขอบตาล่าง และอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
- ต้องรอจนกว่าแผลจะหายและตัดไหม ซึ่งอาจมีรอยแผลเล็ก ๆ ที่บริเวณตาล่างในช่วงแรก
5. ศัลยกรรมยกหนังตาบน (Ptosis Surgery)
เหมาะสำหรับใคร
ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือที่เรียกว่า Ptosis คืออาการที่เกิดจากการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อตา (levator muscle) ซึ่งทำให้ไม่สามารถยกหนังตาขึ้นได้ตามปกติ ผลลัพธ์ที่ได้คือลักษณะของหนังตาตกลงมาปิดขอบตา ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน และอาจทำให้ดวงตาดูเหนื่อยล้า หรือลักษณะใบหน้าไม่สดชื่น การรักษาภาวะนี้สามารถทำได้ด้วยการผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อที่ช่วยยกหนังตาบน (Ptosis Surgery) ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างถาวร
สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis)
ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่ใช้ยกหนังตา (levator muscle) มีความอ่อนแรงหรือทำงานไม่ได้อย่างปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น:
- การเสื่อมสภาพตามอายุ: เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อตามักเสื่อมสภาพและสูญเสียความสามารถในการยกหนังตา
- โรคประจำตัว: เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทหรือโรคที่มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อตา เช่น โรคไมแอสทีเนีย (Myasthenia Gravis)
- การบาดเจ็บ: เช่น การบาดเจ็บจากการผ่าตัดหรือการกระทบกระเทือนบริเวณตาหรือศีรษะ
- พันธุกรรม:ในบางกรณีอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงตั้งแต่เกิด
- ภาวะหนังตาตกแต่กำเนิด:เป็นภาวะที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดและมักจะต้องการการผ่าตัดเพื่อแก้ไขในวัยเด็ก
อาการที่พบในผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงมักมีอาการดังนี้:
- หนังตาตก: หนังตาบนตกลงมา ปิดขอบตาบน ทำให้มองเห็นได้ยาก
- การมองเห็นที่จำกัด: ภาวะหนังตาตกทำให้มุมมองถูกจำกัด บางครั้งผู้ป่วยอาจต้องยกคิ้วขึ้นหรือเงยหน้าเพื่อช่วยให้มองเห็นได้ดีขึ้น
- การเมื่อยล้าของดวงตา: ผู้ป่วยมักรู้สึกว่าตาของตนเองดูเหนื่อยล้าหรือหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย
- ภาวะที่ส่งผลต่อความมั่นใจ: เนื่องจากลักษณะของใบหน้าอาจดูเศร้าหรือเหนื่อยล้า แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ขั้นตอนการผ่าตัด
- การผ่าตัด: แพทย์จะทำการเปิดแผลในบริเวณรอยพับของเปลือกตาบน เพื่อไม่ให้แผลเห็นชัดเจนจากภายนอก จากนั้นจะทำการยกหนังตาขึ้นโดยการปรับกล้ามเนื้อตาที่ควบคุมการยกหนังตา (levator muscle) หรืออาจจะใช้วิธีการเย็บตึงกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น
- การปิดแผล: หลังจากการปรับกล้ามเนื้อตาแล้ว แพทย์จะทำการเย็บแผลให้เรียบร้อย โดยแผลจะอยู่ในรอยพับของเปลือกตา ทำให้ไม่เห็นรอยแผลชัดเจน
ข้อดีของการผ่าตัดยกหนังตาบน (Ptosis Surgery)
1. เปิดหนังตาให้ตาดำดูโต
การผ่าตัดนี้ช่วยยกหนังตาบนขึ้นเพื่อให้ดวงตามีลักษณะที่เปิดกว้างขึ้น ทำให้ตาดำ (cornea) มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดูโตและสดใสขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีหนังตาบนย้อยหรือปิดทับตาดำ ซึ่งอาจทำให้ตาดูเล็กและเหนื่อยล้า
2. ช่วยให้ตาแลดูสดใสและมีชั้นตาชัดเจน
การยกหนังตาให้สูงขึ้นช่วยเปิดตาให้ดูสดใสและทำให้สามารถเห็นชั้นตาได้ชัดเจนขึ้น การมีชั้นตาที่สวยงามจะช่วยเสริมให้ดวงตามีความโดดเด่นและช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ใบหน้า
3. ส่งเสริมบุคลิกภาพ
เมื่อการผ่าตัดช่วยให้ตาเปิดกว้างและดูสดใสขึ้น บุคลิกภาพโดยรวมของผู้ป่วยจะดูดีขึ้น ผู้ที่มีตาหย่อนอาจรู้สึกว่ามีลักษณะตาหมองคล้ำหรือดูง่วงนอนตลอดเวลา แต่หลังการผ่าตัดจะทำให้ดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา
4. เพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็น
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยบกพร่อง โดยเฉพาะในกรณีที่หนังตาบดบังการมองเห็น การผ่าตัดนี้จะช่วยยกหนังตาขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องยกคิ้วหรือหน้าผากเพื่อช่วยยกหนังตา
5. ลดความตึงเครียดจากการใช้กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis Muscle)
เมื่อกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ผู้ป่วยมักจะพยายามยกหนังตาด้วยการยกหน้าผากหรือคิ้วเพื่อมองเห็นได้ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความตึงเครียดและปวดล้าบริเวณหน้าผาก การผ่าตัดนี้จะช่วยลดการใช้กล้ามเนื้อหน้าผากมากเกินไป ทำให้ลดอาการปวดศีรษะจากการเกร็งกล้ามเนื้อ
6. ลดริ้วรอยที่หน้าผาก
การยกหน้าผากเพื่อช่วยยกหนังตาอาจทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากจากการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ เมื่อทำการผ่าตัดยกหนังตา ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าผากมากเกินไป จึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยที่หน้าผากได้
7. เสริมบุคลิกภาพและลดความเครียด
การผ่าตัดจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องย่นหน้าผากตลอดเวลาเพื่อลองยกหนังตา การมีตาที่เปิดกว้างและสดใสจะช่วยให้บุคลิกภาพดูผ่อนคลาย ไม่ดูเครียดหรืออ่อนเพลียจากการใช้กล้ามเนื้อหน้าผากมากเกินไป
ข้อควรระวัง
- อาจเกิดอาการบวมและช้ำที่บริเวณเปลือกตาหลังการผ่าตัด ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่วัน
- อาจเกิดภาวะหลับตาไม่สนิท หรือการปรับตำแหน่งของหนังตาที่ไม่สมบูรณ์ในบางกรณี แต่สามารถแก้ไขได้หากตรวจพบในระยะเวลาอันสั้น
- ผู้รับบริการอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูในการฟื้นตัวจากการผ่าตัด และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันผลข้างเคียง
การดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรมตา
การดูแลตัวเองหลังการทำตาเป็นสิ่งสำคัญในการให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อหรือการบวมที่มากเกินไป ดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสตาหรือขยี้ตา
การสัมผัสตาหรือขยี้ตาหลังการทำตาสองชั้นอาจทำให้แผลติดเชื้อหรือแผลไม่หายสนิทได้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสตาและให้แผลพักผ่อน - ประคบเย็นเพื่อลดบวม
หลังการทำตาสองชั้นจะมีอาการบวมได้ การประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรกจะช่วยลดอาการบวมได้ดี - หลีกเลี่ยงการตากแดดและการใช้เครื่องสำอาง
หลังการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดโดยตรงและไม่ใช้เครื่องสำอางที่บริเวณที่ผ่าตัดในช่วงแรก - การทานยาและการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์
ควรทานยาตามที่แพทย์แนะนำเพื่อช่วยลดอาการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ - การพักผ่อนเพียงพอ
การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นและผลลัพธ์ของการทำศัลยกรรมเป็นที่น่าพอใจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทำการนัดหมาย
โทร: 02-826-9999
Line: @bdmswellnessclinic หรือ https://bit.ly/3DYI2XE