BDMS Wellness Clinic จับมือ Global Wellness Institute เป็นปีที่ 3
ผสานความร่วมมือระหว่าง BDMS Wellness Clinic และ Global Wellness Institute เป็นปีที่ 3
ร่วมศึกษาโอกาสของประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจเวลเนส
ที่มีมูลค่าเติบโตรวดเร็วเป็นอันดับ 1 ของโลก
ความร่วมมือครั้งสำคัญติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ระหว่าง Global Wellness Institute และ BDMS Wellness Clinic ในงานวิจัยใหม่ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประเทศไทย ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 1 ของโลกในด้านการเติบโตของตลาดสุขภาพ ระหว่างปี พ.ศ. 2565 - 2566 โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 28.4% และมีมูลค่าถึง 40.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท)
ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ด้วยความร่วมมือระหว่าง Global Wellness Institute (GWI) นำโดย คุณ Susie Ellis , CEO of GWI และ คุณหมอแอมป์ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในฐานะผู้นำด้าน Wellness Tourism และแนวทางขับเคลื่อน Wellness Hub Thailand ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพื่อก้าวเป็น Global Wellness Destination
สาระสำคัญจากรายงาน “ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงสุขภาพของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566”
1. ประเทศไทย: ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก
- ประเทศไทยได้รับการยอมรับด้าน Wellness Tourism เนื่องจากมีบริการที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่เข้าถึงได้เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก
- จุดแข็งของไทยคือ การแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Medicine) ที่สามารถช่วยตรวจจับโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ลดภาระด้านสุขภาพของประชากรในระยะยาว
2. Wellness Economy ของไทยติดอันดับโลก
- รายงานของ Global Wellness Institute ระบุว่า อุตสาหกรรม Wellness Economy ของไทยมีมูลค่ากว่า 40.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท)
- Wellness Tourism เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้อันดับ 1 ในทั้งหมด 11 อุตสาหกรรมเวลเนสประเทศไทย มูลค่าปีล่าสุดสูงถึง 415,000 ล้านบาท
3. ปัจจัยที่ผลักดันประเทศไทยสู่ Wellness Hub ระดับโลก
ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อน Wellness Hub Thailand ภายใต้แนวคิด 5S ที่ช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
S1: Scientific Wellness Services – บริการสุขภาพมาตรฐานระดับโลก
- การใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI, Telemedicine และการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม (Genome) และวิทยาศาสตร์การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) เพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสนับสนุนให้ประชาชนสุขภาพดี
S2: Signature Thai Wellness – การบูรณาการศาสตร์ไทยสู่มาตรฐานสากล
- สมุนไพรไทย นวดไทย และสปาไทย กำลังได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ
- มีการนำศาสตร์แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกมาผสานกับเวชศาสตร์ป้องกันและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
S3: Sustainable Wellness Tourism – การท่องเที่ยวสุขภาพที่ยั่งยืน
- ไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็น Green Wellness Destination
- การพัฒนาสถานที่พักฟื้นและศูนย์สุขภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
S4: Smart Healthcare Technology – เทคโนโลยีสุขภาพอัจฉริยะ
- ใช้ AI และ Big Data ในการดูแลสุขภาพ ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
S5: Safe & Trusted Destination – ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
- มีมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยสูง ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มองหาบริการด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้
นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ได้กล่าวถึง ศักยภาพของไทยในฐานะ Wellness Destination ว่า
“เรามีทุกอย่างครบครัน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ราคาไม่แพง ความเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน, สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม, อาหารไทยเพื่อสุขภาพ, การแพทย์แผนไทย, การนวดไทย, สมุนไพรไทย, การต้อนรับสวัสดีอันอบอุ่นของไทย และวัฒนธรรมสุขภาพที่แข็งแกร่ง ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำด้าน Wellness Tourism ของโลก และความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง มาร่วมเป็น Team Thailand ผลักดันประเทศไทยเราไปสู่การเป็น Global Wellness Destination กันครับ”
ความร่วมมือระหว่าง Global Wellness Institute กับ BDMS Wellness Clinic ในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดให้ไทยก้าวไปสู่ตลาดสุขภาพอันดับต้นๆของโลก โดยมีเป้าหมายที่จะ
- ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลก Wellness Tourism
- พัฒนาบริการ Wellness Retreats โรงแรมและศูนย์ดูแลสุขภาพระดับพรีเมียม
- ส่งเสริม Medical & Wellness Packages ที่ครอบคลุมทั้งการรักษาและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
สรุปข้อมูลจากรายงาน “The Global Wellness Economy: Thailand (2019-2023)”
1. ความหมายและภาพรวมของอุตสาหกรรม Wellness
1.1 ความหมายของ Wellness
• Wellness หมายถึงการแสวงหากิจกรรม การเลือกใช้ชีวิต และวิถีชีวิตที่นำไปสู่สุขภาพที่สมบูรณ์แบบองค์รวม (Holistic Health)
• เป็นแนวคิดที่มีรากฐานมาจากศาสตร์สุขภาพโบราณ เช่น อินเดีย (อายุรเวท), จีน (การแพทย์แผนจีน), และกรีก-โรมัน
• Wellness ไม่ใช่เพียงสุขภาพทางกาย แต่ครอบคลุมสุขภาพจิต อารมณ์ สังคม สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณ
1.2 ความหมายของ Wellness Economy
• อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดำเนินชีวิตตามแนวทาง Wellness ได้
• ครอบคลุม 11 ภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism), อาหารเพื่อสุขภาพ, เวชศาสตร์ป้องกัน, ฟิตเนส, สปา ฯลฯ
• ในปี พ.ศ. 2566 อุตสาหกรรม Wellness ทั่วโลกมีมูลค่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตปีละ 7.3% ไปเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2571
2. ภาพรวมอุตสาหกรรม Wellness ในประเทศไทย
2.1 มูลค่าตลาด Wellness Economy ของไทย
• ปี พ.ศ. 2566 มูลค่ารวมเศรษฐกิจสุขภาพไทยอยู่ที่ 40.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท) ติดอันดับ #24 ของโลก และอันดับ #9 ในเอเชียแปซิฟิก
• ฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้มูลค่าตลาดลดลงในปีพ.ศ. 2563-2564
2.2 การเติบโตของอุตสาหกรรม Wellness Economy ไทย (ปี พ.ศ. 2562-2566)
• มูลค่าเศรษฐกิจเวลเนส ในปี พ.ศ. 2566 คิดเป็น 7.87% ของ GDP ประเทศไทย
3. ภาคส่วนสำคัญของ Wellness Economy ไทย
3.1 รายได้จากแต่ละภาคส่วนในปี พ.ศ. 2566
• การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 415,000 ล้านบาท
• อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ 308,900 ล้านบาท
• ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงาม 242,000 ล้านบาท
• การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก 118,000 ล้านบาท
• ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย 113,400 ล้านบาท
• เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล 91,500 ล้านบาท
• สปา 53,840 ล้านบาท
• สุขภาพจิต (Mental Wellness) 22,500 ล้านบาท
• อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) 17,800 ล้านบาท
• Wellness ในสถานที่ทำงาน 3,700 ล้านบาท
• บ่อน้ำพุร้อนและน้ำแร่ 673 ล้านบาท
4. รายละเอียดของแต่ละภาคส่วน
4.1 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)
• มูลค่าตลาดปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 415,000 ล้านบาท คิดเป็น 30.4% ของตลาด Wellness ไทย
• การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจาก COVID-19 โดยเพิ่มขึ้น 119.5% จากปี พ.ศ. 2565
• การท่องเที่ยว Wellness แบ่งเป็น:
• นักท่องเที่ยวในประเทศ: 8.08 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 12,340 บาท ต่อทริป
• นักท่องเที่ยวต่างชาติ: 5.40 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 58,000 บาท ต่อทริป
4.2 สปา
• รายได้สปาในไทยปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 53,840 ล้านบาท
• โรงแรมและรีสอร์ทสปาคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
• จำนวนสปาในไทย 2,865 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก 2,785 แห่งในปี พ.ศ.2565
4.3 ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย
• รายได้ปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 113,400 ล้านบาท
• อุปกรณ์และเสื้อผ้ากีฬาเป็นตลาดหลัก คิดเป็น 74.5% ของรายได้
4.4 อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ
- รายได้ปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 308,900 ล้านบาท
- สินค้า:
- อาหารเพื่อสุขภาพ: 193,000 ล้านบาท (+8.4%)
- วิตามินและอาหารเสริม: 78,700 ล้านบาท (+12.6%)
- ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก: 37,000 ล้านบาท (+11.9%)
- อาหารเพื่อสุขภาพ: 193,000 ล้านบาท (+8.4%)
4.5 สุขภาพจิต (Mental Wellness)
- รายได้ปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 22,500 ล้านบาท (+13.7%)
- รายได้จากผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจิต เช่น สมุนไพรบำรุงสมอง, โยคะ, การทำสมาธิ การนอนหลับ เติบโตอย่างรวดเร็ว
4.6 เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล
• รายได้ปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 91,500 ล้านบาท (+10.5%)
• การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล (Preventive Medicine, Precision Medicine and Genetic Testing) มีแนวโน้มเติบโตสูง
4.7 การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
• รายได้ปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 118,000 ล้านบาท (+7.7%)
• ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีสัดส่วนรายได้สูงสุด
4.8 อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate)
• รายได้ปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 17,800 ล้านบาท (+11.4%)
• มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัยเชิงสุขภาพ
5. แนวโน้มในอนาคต
• Wellness Economy ของไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี
• การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ เวชศาสตร์ป้องกัน จะเป็นภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุด (Wellness Tourism and Preventive Medicine)
• อุตสาหกรรม Wellness จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทย และจุดแข็งสำคัญของประเทศไทยคือ Wellness Hub Thailand Project
ประเทศไทยมีศักยภาพสูงใน Wellness Economy โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
ความร่วมมือระหว่าง Global Wellness Institute และ BDMS Wellness Clinic เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Wellness Hub ของโลก ด้วยแนวคิด 5S ประเทศไทยไม่เพียงแต่จะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวสุขภาพที่โดดเด่น แต่ยังสามารถเป็นต้นแบบของระบบสุขภาพที่ยั่งยืน หรือ “Sustainable Wellness” ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Health Span ให้กับประชากรทั่วโลก